แคลเซียม เป็นสารอาหารประเภทเกลือแร่หรือแร่ธาตุ ที่ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากสำหรับร่างกาย และเป็นสารอาหารที่ร่างกายมีความต้องการในปริมาณที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นสารอาหารที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย โดยเฉพาะกับส่วนที่เป็นกระดูกและฟัน อีกทั้งแคลเซียมยังเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายอีกด้วย ดังนั้น การทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ จึงเป็นเรื่องที่เราควรใส่ใจและให้ความสำคัญ
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมากดังที่ได้เกริ่นไว้ในข้างต้น แต่ผู้อ่านอาจจะยังไม่รู้ว่า แคลเซียมให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ? ซึ่งการรู้ถึงประโยชน์โดยละเอียด อาจทำให้ผู้อ่านตระหนักถึงความสำคัญของแคลเซียมมากขึ้น และหันมาให้ความใส่ใจต่อการบริโภคแคลเซียมให้ได้ปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
ประโยชน์ของแคลเซียม
- แคลเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน กระดูกบาง
- ช่วยให้กระดูกไม่เปราะและหักง่าย
- ช่วยป้องกันฟันผุ
- ช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพ
- แคลเซียมช่วยควบคุมการไหลผ่านของสารต่างๆ ระหว่างผนังเซลล์
- ช่วยกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนบางชนิด
- ช่วยควบคุมการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อ
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมีการหดตัว
- ช่วยให้หัวใจเต้นเป็นจังหวะ
- แคลเซียมช่วยให้อารมณ์เป็นปกติ ไม่หงุดหงิด ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
- ช่วยปรับสมดุลความเป็นกรดด่างในร่างกาย
- ช่วยป้องกันอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ในร่างกาย
- ช่วยป้องกันการเป็นตะคริว โดยเฉพาะการเป็นตะคริวที่ต้นขาในเวลานอน
- ช่วยให้เลือดหยุดไหลและแข็งตัวได้เร็ว
- แคลเซียมช่วยเร่งปฏิกิริยาการทำงานของเอนไซม์บางชนิดในร่างกาย
- เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการเจริญเติบโตโดยเฉพาะ ทารก เด็ก และหญิงมีครรภ์
- ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตเป็นปกติ ขาไม่งอ กระดูดไม่โก่ง รูปร่างเป็นปกติ
- ช่วยซ่อมแซมกระดูกที่สึกหรอให้แข็งแรงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ
จากที่ได้กล่าวมาทั้ง 19 ข้อในข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า แคลเซียมเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญและประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ก็ย่อมจะส่งผลที่ตรงกันข้ามกับประโยชน์ที่จะได้รับ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นนั้นเอง
ข้อควรรู้ต่างๆ เกี่ยวกับแคลเซียม
- แคลเซียมเป็นสารอาหารที่อยู่มากในอาหารจำพวก นม ผลิตภัณฑ์จากนม เนย ไข่แดง ปลาตัวเล็กๆ ที่กินได้ทั้งตัว ปลาซาร์ดีน กุ้งฝอย กุ้งแห้ง ปู หอย ถั่วเหลือง เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ งาดำ ลูกเดือย ถั่ว น้ำส้ม ผักใบเขียวต่างๆ อาทิ คะน้า ใบกะเพรา ใบโหระพา ผักโขม สะเดา ใบยอ ผักกระเฉดและบรอกโคลี เป็นต้น
- การได้รับแคลเซียมมากเกินความต้องการของร่างกาย อาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจเป็นนิ่วในไตเนื่องจากการเกาะตัวของแคลเซียมส่วนเกิน อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการทางจิตได้ด้วย
- การใช้ผลิตภัณฑ์แคลเซียม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนจะซื้อมาบริโภค อันเนื่องมาจากปริมาณความต้องการของแต่ละคนที่แตกต่างกัน (ดูได้จากตาราง 1) การดูดซึมที่แตกต่างกันไปตามช่วงเวลา อีกทั้งยังอาจส่งผลข้างเคียงบางอย่าง เช่น อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและทำให้ท้องผูกได้
ตาราง 1 ปริมาณความต้องการแคลเซียม
วัย / ช่วงอายุ / ช่วงเวลา | ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวัน |
ทารกที่เลี้ยงด้วยนมโค | 500 – 600 มิลลิกรัม |
เด็กอายุระหว่าง 1 – 9 ปี | 400 – 500 มิลลิกรัม |
เด็กอายุระหว่าง 10 – 15 ปี | 600 – 700 มิลลิกรัม |
เด็กอายุระหว่าง 16 – 19 ปี | 500 – 600 มิลลิกรัม |
ผู้ใหญ่ | 400 – 500 มิลลิกรัม |
สตรีมีครรภ์ | 1.0 – 1.5 กรัม |
สตรีให้นมบุตร | 1.5 – 2.0 กรัม |
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์และความสำคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก แต่การได้รับแคลเซียมในปริมาณเกินความจำเป็นหรือความต้องการของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงได้เช่นกัน ดังนั้นการทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอและพอดี จึงเป็นเรื่องที่เราควรให้ความใส่ใจให้มาก ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราได้รับประโยชน์ของแคลเซียมอย่างแท้จริงและก็เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของตัวเรานั้นเอง