วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก เป็นวิตามินที่มีความสำคัญและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่างด้วยกัน ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าเกี่ยวกับ “ประโยชน์ของวิตามินซี” หรืออยากรู้ว่า “วิตามินซีมีประโยชน์อย่างไร” ก็สามารถเรียนรู้ได้ที่บทความนี้เลย

ประโยชน์ของวิตามินซี มีอะไรบ้าง
- เสริมสร้างคอลลาเจน (collagen) ให้กับร่างกาย ซึ่งคอลลาเจนนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของกล้ามเนื้อ หลอดเลือด กระดูกและกระดูกอ่อน
- ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี ไม่หยุดชะงัก โดยเฉพาะกับเด็กและผู้ที่ยังอยู่ในวัยของการเจริญเติบโต
- ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยให้เลือดกำเดาไม่ไหลออกง่าย เพราะเส้นเลือดฝอยแข็งแรง
- ช่วยให้กระดูกและเล็บแข็งแรง
- ช่วยให้ผิวไม่แห้งแตกและเป็นสะเก็ด
- ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
- ช่วยให้ไม่ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ข้อเท้าและขาทั้งสองข้าง
- ช่วยเสริมสร้างสารสำคัญบางตัวซึ่งมีผลต่อร่างกาย อาทิ อีพิเนฟริน (epinephrine) หรือ อะดรีนาลีน (adrenaline) และ คอร์ติโคสตีรอยด์ (corticosteroids) เป็นต้น
- ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย และไม่เหนื่อยง่าย
- ช่วยให้สดชื่น อารมณ์ดี ไม่ซึมเศร้า และไม่หงุดหงิดง่าย
- ช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด หรือ โรคที่มีเลือดออกตามไรฟันนั้นเอง
- ช่วยทำให้เหงือกและฟันแข็งแรง ซึ่งตรงกันข้าม หากขาดวิตามินซีก็จะทำให้เหงือกไม่แข็งแรง อักเสบได้ง่ายซึ่งส่งผลกระทบให้ฟันไม่แข็งแรงไปด้วย
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
- ช่วยให้ผิวสวย ไม่ซีด ไม่แห้ง ไม่มีรอยจ้ำตามผิงหนัง
- ป้องกันผิวหน้าไม่ให้เป็นผื่นแดง หรือ มีสิวที่เป็นสีแดง
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆ ให้ดีขึ้น
- ช่วยลดโอกาสที่จะเป็นโรคมะเร็งต่างๆ
- ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
- ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารได้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยรักษาและทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง
- ช่วยลดอาการของไข้หวัดและทำให้หายจากการเป็นไข้หวัดได้เร็วยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของวิตามินซีทุกข้อนั้น ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญกับร่างกายของเราเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าขาดวิตามินซี ร่างกายก็จะไม่ได้รับประโยชน์กล่าว และยังอาจส่งผลที่ตรงกันข้ามกันกับประโยชน์อีกด้วย
แหล่งวิตามินซี
ก่อนอื่นให้รู้ก่อนว่า ร่างกายของเราไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง ฉะนั้น เราจึงต้องรับประทานเข้าไป โดยวิตามินซีมักจะมีอยู่ในอาหารกลุ่มผักและผลไม้ อาทิ
- ผัก: มะเขือเทศ มันฝรั่ง บร็อคโคลี่ และผักใบเขียว เป็นต้น
- ผลไม้: ฝรั่ง ส้ม สตรอเบอรี่ กีวี แคนตาลูป มะม่วง และ องุ่น เป็นต้น
เราสามารถรับวิตามินซีในรูปแบบของอาหารเสริมหรือยาได้เช่นกัน แต่ถ้าให้ดี แนะนำให้ร่างกายได้รับวิตามินซีจากอาหารจะดีกว่า
ปริมาณที่ควรได้รับ
ความต้องการวิตามินซีในแต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันออกไป แต่สามารถระบุได้คร่าว ๆ โดยใช้เกณฑ์ช่วงวัยและภาวะร่างกาย เป็นตัวกำหนดปริมาณความต้องการที่เหมาะสมได้ดังนี้
- เด็ก ควรได้รับในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน
- ผู้ใหญ่ ควรได้รับในปริมาณ 60-90 มิลลิกรัมต่อวัน
- หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงที่อยู่ในระหว่างการให้นมบุตร ควรได้รับในปริมาณ 90-95 กรัมต่อวัน
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ควรได้รับ 95-125 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะการสูบบุหรี่จะไปลดปริมาณของวิตามินซี
ข้อควรระวัง
หากได้รับวิตามินซีจากการรับประทานผักและผลไม้ โดยส่วนใหญ่จะไม่มีผลกระทบใด ๆ แต่ถ้าเป็นวิตามินซีในรูปแบบของอาหารเสริมหรือวิตามินเม็ด ก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนี้
- คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากทำให้ระคายเคืองในกระเพาะอาหาร
- ไตทำงานหนักขึ้น เพราะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถสะสมได้ ส่วนที่เกินจึงถูกขับออกมาทางไต ซึ่งทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น
- ส่งผลกระทบต่อเหงือกและฟัน โดยเฉพาะในเด็ก เพราะวิตามินซีส่วนใหญ่จะมีรสเปรี้ยวจากการแต่งรส ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เกิดการกัดกร่อนทำลายเคลือบฝัน
จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับ “ประโยชน์ของวิตามินซี” ตลอดจนแหล่งที่มา ปริมาณที่ควรได้รับ และข้อควรระวังในการรับวิตามินซี เราหวังว่า คุณคงได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน