Categories
Uncategorized

ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) สรรพคุณและวิธีใช้ยาไดโคลฟีแนค

ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) หนึ่งในตัวยาต้านอักเสบหรือยาแก้อักเสบและบรรเทาอาการปวดที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ไดโคลฟีแนคเป็นหนึ่งในตัวยาที่อยู่ในกลุ่มตัวยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ซึ่งมีการผลิตออกมาจัดจำหน่ายอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน อาทิ วอลทาเรน (Voltaren) ไดฟีแนค (Difenac) ไดฟีโน (Difeno) โดซาแนค (Dosanac) และ ฟีแนค (Fenac) เป็นต้น

สรรพคุณของยา “ไดโคลฟีแนค”

ไดโคลฟีแนค เป็นตัวยาที่อยู่ในกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ มีสรรพคุณในการแก้ข้ออักเสบที่เกิดจากโรคต่างๆ อาทิ โรคเกาต์ โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคข้อสันหลังอักเสบ โรคข้อเสื่อม เป็นต้น นอกจากใช้เพื่อการรักษาอาการอักเสบต่างๆ แล้ว ก็ยังถูกใช้ในการรักษาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดประจำเดือน ปวดไมเกรน ปวดนิ่วท่อไต เป็นต้น โดยตัวยาชนิดนี้มีการผลิตออกมาใช้และจำหน่ายอยู่ 2 รูปแบบหลักๆ ด้วยกัน คือ แบบเม็ด ขนาด 25 และ 50 มิลลิกรัม และ แบบฉีด แต่ในปัจจุบันได้มีการนำตัวยาชนิดนี้มาผลิตเป็นรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น แบบเจลสำหรับทาภายนอก แบบน้ำเชื่อมและแบบเหน็บทวาร

วิธีใช้ “ยาไดโคลฟีแนค”

  1. ใช้เพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม โดยให้ใช้ยาขนาด 50 มิลลิกรัม ในปริมาณ 100-150 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือ 2-3 เม็ดต่อวัน โดยแบ่งรับประทาน 2-3 ครั้งในหนึ่งวัน
  2. ใช้เพื่อรักษาอาการข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โดยใช้ยาขนาด 25 มิลลิกรัม ในปริมาณ 100-125 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือ 4-5 เม็ดต่อวัน โดยแบ่งรับประทาน 4-5 ครั้งในหนึ่งวัน
  3. ใช้เพื่อรักษาโรคเกาต์ระยะที่อักเสบเฉียบพลัน โดยให้ใช้ครั้งแรกที่มีอาการในปริมาณ 75-100 มิลลิกรัม และใช้อีกซ้ำทุกๆ 6-8 ชั่วโมง ในปริมาณ 50 มิลลิกรัม จนกว่าอาการจะทุเลา
  4. ใช้เพื่อรักษาโรคปวดข้อรูมาตอยด์ โดยให้ยาขนาด 50 มิลลิกรัม ในปริมาณ 150-200 มิลลิกรัม ต่อวัน แบ่งใช้ 2-4 ครั้ง ต่อวัน
  5. ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดประจำเดือน หรือ อาการปวดไมเกรน โดยให้ใช้ในปริมาณ 50 มิลลิกรัม ต่อครั้ง และใช้ซ้ำได้แต่ไม่ควรเกิน 3 ครั้ง ต่อวัน
  6. ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดนิ่วท่อไต ด้วยการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อโดยตรง โดยให้ทำการฉีดครั้งละ 1 หลอด (หลอดละ 75 มิลลิกรัม) เท่านั้น

*** ปริมาณที่ใช้ดังที่ระบุในข้างต้น เป็นปริมาณสำหรับใช้ในผู้ใหญ่เท่านั้น

ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ “ยาไดโคลฟีแนค”

  1. อาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาหลังอาหารและไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือควรใช้ยาเพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  2. อาจทำให้เกิดอาการเวียนศรีษะ คลื่นไส้ ง่วง อ่อนเพลีย เป็นต้น
  3. ไม่ควรใช้ยาไดโคลฟีแนคกับผู้ที่มีประวัติเคยแพ้ยาตัวนี้ หรือแพ้ยาตัวอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน เป็นต้น
  4. ไม่ควรใช้ยาตัวนี้กับผู้ที่เป็นโรคหืด ลมพิษ ภูมิแพ้ ผู้ป่วยโรคกระเพาะและหญิงตั้งครรภ์
  5. การใช้ยาในปริมาณมากเกินไปหรือใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อตับและไต จนอาจทำให้เป็นโรคตับวาย ไตวายเรื้อรังได้
  6. ไม่ควรใช้ยาไดโคลฟีแนคร่วมกับแอลกอฮอล์หรือยาตัวอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มยาเดียวกัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดการเสริมฤทธิ์ของยา ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  7. ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาฉีดโดยไม่จำเป็น เช่น ใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดทั่วไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการหลอดลมเกร็ง หรือช็อกจากการแพ้ยาได้ หรืออาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในบริเวณที่ทำการฉีด ซึ่งอาจร้ายแรงถึงขนาดโลหิตเป็นพิษได้
  8. ไม่ควรใช้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี เป็นอันขาด

ไดโคลฟีแนค เป็นตัวยาที่มีสรรพคุณและฤทธิ์คล้ายคลึงกับตัวยาอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอดย์ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ “ยาไดโคลฟีแนคกับตัวยาอื่นๆ” ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเป็นอันขาด เพราะการใช้ยาตัวอื่นๆ ร่วมด้วย ก็เปรียบเสมือนการใช้ “ยาไดโคลฟีแนคเกินปริมาณที่จำเป็น” ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ง่ายกว่าการใช้ยาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง และอาจทำให้เกิดอันตรายจากการใช้ยาได้ ดังนั้น หากจะใช้ตัวยา “ไดโคลฟีแนค” ก็ควรระมัดระวังให้ดีด้วย




ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *